ตอนนี้ประเทศไทยก็เริ่มเข้าสู่ช่วงหน้าร้อนกันแล้ว ทำให้หลายๆ บ้านมีแพลนที่จะซื้อแอร์มาช่วยสร้างความเย็นสบายภายในบ้าน โดยอาจจะเลือกจากดีไซน์ ราคา หรือฟังก์ชั่นกรใช้งานต่างๆ แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามนั่นก็คือ btu แอร์ ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่คุณจะต้องรู้และทำความเข้าใจมันก่อนจะตัดสินใจเลือกซื้อ ดังนั้นวันนี้เราจึงจะขอพามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้กันก่อน เพื่อที่จะได้เลือกใช้งานแอร์ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และป้องกันความผิดพลาดในภายหลัง
BTU คืออะไร?
BTU หรือ บีทียู ย่อมาจาก British Thermal Unit คือ หน่วยวัดค่าพลังงานความร้อนตามมาตรฐานสากล หรือหากพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ หน่วยวัดค่าความเย็นของเครื่องปรับอากาศนั่นเอง โดยหากตัวเลข BTU มาก หมายถึงความสามารถในการทำความเย็นก็จะมากและสามารถทำความเย็นในพื้นที่ขนาดใหญ่ได้ ซึ่งแปลว่าถ้า btu แอร์ ยิ่งสูงก็จะทำให้ใช้ไฟฟ้ามากขึ้นตามไปด้วย
วิธีเลือก BTU ให้เหมาะสมกับห้อง
สำหรับการเลือก btu แอร์ ให้เหมาะกับห้องนั้น ควรที่จะพิจารณาจากประเภทห้องและขนาดของห้อง รวมถึงตำแหน่งทิศทางของห้องว่ามีการส่องเข้าถึงจากแสงแดดหรือไม่ มีจำนวนผู้พักอาศัยกี่คน และอย่าลืมดูจำนวนเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในห้องว่ามีมากน้อยเพียงใดในพื้นที่นั้นๆ ซึ่งโดยปกติแล้วแอร์จะมีหลายขนาดตั้งแต่ 9,000 BTU – 36,000 BTU ซึ่งแต่ละขนาดก็เหมาะกับพื้นที่ใช้สอยที่แตกต่างกันออกไป อาทิเช่น
• ขนาด 9,000 BTU – 21,000 BTU เหมาะกับห้องที่มีขนาดเล็กถึงขนาดปานกลาง อย่างเช่น คอนโด หรือห้องที่มีอุณหภูมิสูงปานกลางถึงสูงมาก
• ขนาด 21,000 BTU – 30,000 BTU เหมาะกับห้องที่มีพื้นที่ห้องขนาดกลางถึงใหญ่และมีพื้นที่ใช้สอย หรือเป็นห้องที่มีอุณหภูมิสูงปานกลางถึงสูงมาก เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องโถง เป็นต้น
• ขนาด 30,000 BTU – 36,000 BTU เหมาะกับห้องที่มีขนาดใหญ่และมีสิ่งของเครื่องใช้ เช่น Home Office สำนักงาน ร้านกาแฟหรือร้านอาหารต่างๆ ธุรกิจขนาดย่อม และรวมไปถึงห้องที่มีความร้อนมากๆ
การคำนวณ btu แอร์
อีกหนึ่งวิธีในเลือกแอร์ให้มีขนาด BTU เหมาะสมกับห้อง สามารถทำได้โดยการใช้สูตรคำนวณ ใช้ขนาดของพื้นที่คูณด้วยค่าตัวแปร 700 – 1200 ซึ่งจะขึ้นอยู่กับตัวแปรต่างๆ เช่น ทิศทางของห้อง การโดนแดด และลักษณะการใช้งาน
ค่าตัวแปร
• 700 – 800 = ห้องที่มีความร้อนน้อยหรือไม่โดนแสงแดด
• 800 – 900 = ห้องรับแขก หรือห้องที่มีความร้อน
• 900 – 1000 = ห้องทำงาน ห้องออกกำลังกาย หรือห้องที่มีความร้อนสูง
• 1000 – 1200 = ร้านค้า ร้านอาหารที่มีการเปิดปิดประตูบ่อยๆ
สูตรการคำนวณ btu แอร์
BTU = ขนาดห้อง ( กว้าง x ยาว ) หน่วยเป็นเมตร x ค่าตัวแปร
เช่น ห้องนั่งเล่น มีขนาดความกว้าง 4 เมตร ยาว 5 เมตร ไม่โดนแดด ควรใช้แอร์กี่ BTU?
วิธีการคำนวณ BTU = 4 x 5 x 800 = 16,000 BTU
สูตรการคำนวณ ( กรณีเพดานสูง )
BTU = ขนาดห้อง ( กว้าง x ยาว x สูง ) หน่วยเป็นเมตร x ค่าตัวแปร ÷ 3
เช่น ห้องโถง มีขนาดความกว้าง 10 เมตร ยาว 25 เมตร สูง 6 เมตร ไม่โดนแดด ควรใช้แอร์กี่ BTU?
วิธีการคำนวณ BTU = 10 x 25 x 6 x 1200 ÷ 3 = 600,000 BTU
ทำไมถึงต้องเลือก btu แอร์ ให้เหมาะสม?
BTU เป็นตัวแสดงความสามารถในการทำความเย็น โดยหากยิ่งมีเลขมากก็จะสามารถทำความเย็นได้มากและสามารถทำความเย็นในพื้นที่ขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยิ่งสูงก็จะยิ่งส่งผลให้ใช้ไฟฟ้ามากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นการเลือก BTU ให้เหมาะสมกับห้องจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
หากเลือกใช้ BTU ที่มากกว่าขนาดห้อง สิ่งที่ได้คือแอร์ตัวใหญ่แต่เสียค่าแอร์และค่าไฟฟ้าแพงกว่าปกติ ในขณะที่แอร์ทำงานคอมเพรสเซอร์จะตัดบ่อย และสามารถทำความเย็นได้เร็วก็จริงแต่ประสิทธิภาพในการทำงานจะลดน้อยลงทำให้ในห้องมีความชื้นสูง รู้สึกไม่สบายตัวได้ และที่สำคัญยังมีราคาที่แพงแถมยังสิ้นเปลืองพลังงานอีกด้วย
หากเลือกใช้ btu แอร์ ที่น้อยกว่าขนาดของห้อง จะทำให้แอร์ทำความเย็นได้ช้าหรืออาจทำความเย็นไม่ได้ เมื่อห้องไม่เย็นก็จะส่งผลให้คอมเพรสเซอร์ทำงานตลอดเวลา เพราะความเย็นภายในห้องยังไม่ได้ตามอุณหภูมิที่ตั้งเอาไว้ จึงทำให้สิ้นเปลืองพลังงานเปลืองค่าไฟฟ้า และยังส่งผลให้อายุการใช้งานของคอมเพรสเซอร์สั้นลงอีกด้วย
จบกันไปแล้วสำหรับข้อมูลความรู้เกี่ยวกับ btu แอร์ ที่คนใช้แอร์ หรือคนที่มีแพลนกำลังจะซื้อควรรู้และทำความเข้าใจให้ถูกต้อง เพื่อจะได้เลือกใช้งานได้อย่างเหมาะสมและป้องกันความผิดพลาด เพราะหากผิดพลาดไปแล้วนอกจากจะเสียเงินแล้วยังต้องเสียเวลาในการแก้ไขซ่อมแซมอีก เพราะฉะนั้นแล้วความรู้เรื่องเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
รูปภาพประกอบ : thepalmhome.com
รูปภาพประกอบ : changfi.com
รูปภาพประกอบ : worthen-life.com
อ่านต่อที่ ไปดูราคากลาง ค่าติดตั้ง แอร์ 2023 รู้ไว้จะได้ไม่โดนทุบ